การทำธุรกิจร่วมทุน หรือที่เรียกว่า Joint Venture (JV) เป็นกลยุทธ์ที่หลายบริษัทเลือกใช้เมื่อต้องการขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน หรือเข้าถึงตลาดใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือที่ไม่มีข้อตกลงชัดเจน มักจบลงด้วยข้อพิพาท
บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญที่ควรพิจารณาก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจร่วมทุนในประเทศไทย
1. รูปแบบของ Joint Venture ที่ใช้ได้ในไทย
-
Incorporated JV: ตั้งบริษัทใหม่ร่วมกัน (นิติบุคคลใหม่) โดยทั้งสองฝ่ายถือหุ้นตามสัดส่วน
-
Unincorporated JV: ไม่มีการตั้งบริษัท ใช้รูปแบบของสัญญาร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ (เช่น สัญญา Consortium)
ข้อแนะนำ: รูปแบบแรกปลอดภัยกว่าในแง่ของโครงสร้าง กฎหมาย และความชัดเจนของความรับผิด
2. การถือหุ้นของชาวต่างชาติ
ตาม พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หากฝ่ายต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% อาจเข้าข่าย “ธุรกิจของคนต่างด้าว” ซึ่งต้องขอใบอนุญาตก่อนประกอบกิจการ
หากไม่วางแผนให้ดี อาจถูกเพิกถอนกิจการหรือต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก
3. สัญญาร่วมทุน (Joint Venture Agreement)
ถือเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ควรมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้:
-
วัตถุประสงค์ของกิจการร่วมทุน
-
สัดส่วนการลงทุน / การถือหุ้น
-
การแบ่งปันผลกำไรและขาดทุน
-
การจัดการและอำนาจในการตัดสินใจ
-
เงื่อนไขการสิ้นสุดความร่วมมือ
-
แนวทางการระงับข้อพิพาท
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการใช้สัญญาที่คัดลอกจากต่างประเทศโดยไม่ปรับให้เข้ากับกฎหมายไทย
4. ประเด็นภาษีและทรัพย์สินทางปัญญา
-
ควรระบุชัดเจนว่าใครเป็นเจ้าของ เทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า ที่นำมาใช้ร่วมกัน
-
วางแผนภาษีล่วงหน้าโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนหรือผิดพลาด
5. การจบความสัมพันธ์ต้องมีทางออก
ธุรกิจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สัญญาควรกำหนดกลไกการถอนตัว การขายหุ้น หรือการชำระบัญชีให้ชัดเจน
ไม่มีอะไรเสียหายไปกว่าธุรกิจร่วมทุนที่แตกหักโดยไม่มีข้อตกลงรองรับ
สรุป
การตั้งธุรกิจร่วมทุนในประเทศไทยเป็นโอกาสที่ดี หากวางแผนถูกต้องและรอบคอบทางกฎหมายตั้งแต่แรก การไม่มีข้อตกลงที่ดีเท่ากับเปิดประตูให้เกิดข้อพิพาทในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำนักงานกฎหมายของเรามีประสบการณ์ในการวางโครงสร้าง Joint Venture ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมร่างสัญญาและให้คำปรึกษาตลอดกระบวนการ


